การเลี้ยงหมูโดยปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาตินั้น เราเลี้ยงแค่ตัวเดียวก็ทำให้มีกลิ่นเหม็นแล้ว ส่วนความแตกต่างของการเลี้ยงหมูหลุมนั้นมีประโยชน์มากและทำให้หมูโตไวมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง เพราะถ้าเราย้อนกลับไปดูวิธีการเลี้ยงหมูตามวิธีแบบชาวบ้านสมัยก่อนนั้นจะเลี้ยงหมูโดยปล่อยให้อยู่กับขี้ดินขี้โคลนตามใต้ถุนบ้านซึ่งบ้านสมัยก่อนนั้นจะมีบ้านที่มีใต้ถุนกันซะส่วนใหญ่และส่วนใหญ่ใต้ถุนบ้านก็จะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจึงทำให้ชาวบ้านบางคนนำหมูมาเลี้ยงเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมบ้างก็เลี้ยงแค่ 1-2 ตัว บ้างก็จะเลี้ยงหลายตัวตามพื้นที่ที่มีอยู่แต่การเลี้ยงหมูแบบชาวบ้านในสมัยก่อนนั้นก็จะเลี้ยงกันตามประสาชาวบ้านที่ไม่มีความรู้อะไร จึงเลี้ยงหมูโดยการกั้นใต้ถุนบ้านให้เป็นคอกและขังน้ำให้เป็นดินโคลนเพื่อให้หมูได้อยู่เสมือนธรรมชาติ แต่การเลี้ยงหมูโดยวิธีนี้ไม่เป็นที่น่ายินดีเท่าไหร่นักเนื่องจากการเลี้ยงด้วยวิธีดังกล่าวจะทำให้บ้านได้รับกลิ่นเหม็นจากมูลของหมูเองและยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่างๆที่เป็นอันตรายทั้งคนและหมูที่อยู่ในบริเวณนั้นอีกด้วย ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับการเลี้ยงหมูหลุมกันเลยดีกว่าครับ
การเลี้ยงหมูหลุมจะมีขั้นตอนไม่ยุ่งยากมากนักหากได้ศึกษามาเป็นอย่างดีก็จะประสบผลสำเร็จได้ เราจะเริ่มขั้นตอนแรกกันเลยดีกว่าครับ
1.ควรจะมีพื้นที่ที่เป็นแบบโรงเรือนโดยมีที่กันแดดกันฝนได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็แยกเป็นคอกๆโดยจะให้ 1 คอกมีหมูอยู่ได้ไม่เกิน 10 ตัวซึ่งการสร้างจำนวนของคอกหมูนั้นจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่เรามีอยู่และจำนวนหมูที่จะเลี้ยงด้วย
2.ให้ปูพื้นคอกหมูโดยใช้ต้นกล้วยมาสับเป็นชิ้นเล็กเทลงพื้นให้ทั่วคอก จาดนั้นให้นำน้ำจุลินทรีย์มาเทราดให้ทั่วคอกอีทีและใช้แกลบมาเททับอีกชั้นโดยให้คุมต้นกล้วยที่สับให้มิด
3.ทำแบบเดียวกันอย่างข้อที่ 2 อีกครั้งเพื่อความหนาของพื้นที่และทำให้เหมือนกันแบบนี้ทุกคอก สุดท้ายให้ฉีดน้ำให้ชุ่มชื่นทั่วทั้งคอก เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเลี้ยงหมูได้อย่างปกติซึ่งจะทำให้ลดกลิ่นของมูลของหมูและทำให้หมูแข็งแรงปลอดโรคอีกด้วย
ทั้งนี้เมื่อนำหมูไปขายได้แล้วก็นำพื้นคอกที่เป็นแกลบและมูลของหมูไปใส่ต้นไม้แทนปุ๋ยได้หรือนำไปขายให้กับชาวเกษตรกรที่ปลูกพืชผักได้อีกด้วย