คำว่าเกษตรผสมผสานนั้นก็คือการปลูกพืชผักผลไม้หรือพืชผักสวนครัวต่างๆหลากหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน เป็นหลักการและแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในพระราชดำริ ซึ่งการทำเกษตรแบบผสมผสานนั้นมีประโยชน์อย่างมากในหลายๆเรื่องเช่น สร้างรายได้ตลอดทั้งปี ไม่กลัวเรื่องของราคาตกในช่วงที่ผลผลิตล้นตลาด
เกษตรผสมผสานสามารถทำได้จริงและเห็นผลถึงแม้จะมีแค่พื้นที่อยู่ไม่มากแต่ก็สร้างรายได้มาแล้วเดือนละเป็นแสนต่อเดือนต่อไร่ ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเกษตรกรเอง เรามาดูตัวอย่างของเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จกันเลยดีกว่าครับว่าเขาปลูกอะไรและมีรายได้เท่าไหร่กันบ้าง จะยกตัวอย่างเกษตรกร ดังนี้
เกษตรกรรายนี้ มีเนื้อที่อยู่ 7 ไร่ครึ่ง แบ่งไปปลูกกล้วย 800 ต้น มะเขือพวงไร้หนามอีก 2,000 ต้น และยังมีพืชผักสวนครัวต่างๆรอบๆของพื้นที่ในสวนอีกด้วย มีทั้ง ข่า ตะไคร้ ขิง กะเพรา โหระพา พริก เป็นต้น และยังมีบ่อปลาอีก 11 บ่อ มีทั้งปลาดุก ปลานิล ปลาทับทิม ซึ่งเกษตรกรรายนี้ได้บอกว่าเขาสามารถสร้างรายได้เฉลยเดือนละ 20,000-30,000 ต่อเดือน ทั้งนี้รายได้หลักๆก็จะมาจากมะเขือพวงไร้หนามที่ได้ปลูกไว้ 2,000 ต้นซึ่งเมื่อถึงเวลาให้ผลผลิตก็จะเก็บขายได้ตลอดทั้งปีและที่สำคัญถ้าเราไม่เก็บผลของมะเขือพวงไร้หนามก็จะไม่ออกใหม่เหมือนกัน และรายได้อีทางก็มาจาก ผลผลิตจากกล้วย ที่ได้ปลูกไว้ 800 ต้นก็จะสามารถนำทั้งผลกล้วย หัวปี และหนอ ขายได้อีกเช่นกัน ส่วนรายได้เสริมก็มาจากปลาที่ได้เลี้ยงไว้อีก 11 บ่อ รวมทั้งพืชผักสวนครัวอื่นๆอีกด้วยทั้งนี้ พืชผักสวนครัวทั้งหลายยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่ากับข้าวได้อีกด้วย
เกษตรกรรายนี้ได้เล่าว่าหากเจอปัญหาในเรื่องของรายในการขายที่ต่ำก็จะไม่ทำให้เขาขาดทุนเพราะว่ายังมีรายได้จาดทางอื่นอีกด้วย ทั้ง ปลาที่ได้เลี้ยงไว้และพืชผักอีกกว่า 10 ชนิดที่มีอยู่ การทำเกษตรผสมผสานทำให้มีรายได้แบบรายวันโดยใน 1 เดือน จะมีรายได้จากการทำเกษตรผสมผสานเกือบแทบจะทุกวัน จึงไม่ต้องไปหากู้เงินมาเป็นก้อนๆเพื่อที่จะลงทุนในการซื้อปุ๋ยในการทำเกษตร ซึ่งการทำเกษตรโดยปลูกพืชแค่ชนิดเดียวนั้นหากราคาตกต่ำก็จะทำให้ขาดทุนและเป็นหนี้ได้ อีกทั้งเกษตรกรยุคใหม่มักจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนพวกการใช้ปุ๋ยที่มีสารเคมีต่างๆ เพื่อผลผลิตที่ดีและราคาถูกกว่าอีด้วย เห็นไหมละครับว่าการทำเกษตรแบบผสมผสานนั้นมีดีและมีความต่างกับการทำเกษตรแบบเดี่ยวอย่างไร