Raising frogs in cement ponds

เลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ ตามแบบฉบับเกษตรกร สร้างรายได้

อาชีพเกษตรกรถือว่าเป็นอาชีพหลักที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติอย่างแท้จริง ลองนึกภาพคนในประเทศไม่มีใครอยากทำเกษตร ประเทศเราคงแย่ต้องซื้ออาหารกินจากต่างชาติ นั่นก็เหมือนกับเราเป็นทาสเค้าไปแล้วครึ่งตัวนั่นเอง (ลองดูประเทศเวเนซุเอลาก็ได้ทิ้งอาชีพเกษตรไปสิบกว่าปีผลเป็นไงคงไม่ต้องบอก) แต่การทำเกษตรสมัยนี้ต้องเป็นแบบใหม่นั่นคือการผสมผสานกัน นอกจากผสมผสานพื้นที่ปลูกพืชให้หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง การเลี้ยงสัตว์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มรายได้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีน่าสนใจ อย่าง การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์

การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ คืออะไร

สำหรับคนที่ยังนึกภาพไม่ออก เราจะขออธิบายแบบง่ายๆ ก็คือ การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ หมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมจำลองขึ้นมาเพื่อเลี้ยงกบ โดยสภาพแวดล้อมจำลองนั้นมาจากการก่อบ่อปูนซีเมนต์ขึ้นมา หรือ อาจจะเอาท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่มาก่อก็ได้ จากนั้นก็เติมน้ำลงไปใส่พืชน้ำเพื่อสร้างที่อยู่ตามธรรมชาติให้กับกบ จากนั้นก็ปล่อยกบลงไปเลี้ยง ให้อาหารตามธรรมชาติแล้วพอกบโตได้ที่ก็จับเพื่อเอาไปขาย

พันธุ์กบ

การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์นั้นไม่ได้หมายความว่า จะเลี้ยงกบตัวไหนก็ได้ พันธุ์ไหนก็ได้นะ เพราะนี่คือการเลี้ยงเพื่อรายได้ เพื่อการขาย เราจึงต้องคัดเลือกกบที่ให้ราคาดี ตัวใหญ่ เนื้อดี และอึดไม่ตายงาน โดยพันธุ์กบทีนิยมนำมาเลี้ยงได้แก่ กบอเมริกันบูลฟร็อก กับ กบนา สำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงเราขอแนะนำกบนา มากกว่าเพราะว่ากบนาจะเติบโตได้ดีในสภาพอากาศบ้านเรา อีกทั้งโตเร็วมาก เพียงแค่ 5 เดือนน้ำหนักจะพุ่งไปถึง 4-5 กิโลกรัมต่อตัว ทำให้ขายได้ราคา เป็นที่นิยมของตลาด

อาหารกบ

การเลี้ยงสัตว์ เรื่องอาหารสำคัญ เราต้องบริหารจัดการให้ดี เพราะอาหารที่พอเหมาะจะทำให้กบตัวใหญ่ อ้วน ได้น้ำหนักตามต้องการ และอาหารที่ให้พอดีจะไม่ทำให้เราเหลือทิ้งจนกลายเป็นต้นทุนเสียเปล่าไป คำแนะนำอาหารกบเราจะให้สองครั้งต่อวัน ตอน 7.00 น. และเวลา 17.00 น. สูตรการคำนวณอาหารแบบง่ายๆ ก็คือ ให้น้ำหนักอาหารประมาณ 10% ของปริมาณน้ำหนักกบทั้งหมด ส่วนอาหารกบไม่มีอาหารสำเร็จรูป ต้องใช้การแปรรูปอาหารสดแทน เช่น เนื้อปลาสับ ปลายข้าว ผักบุ้ง เอาไปต้มรวมกัน แล้วเอาไปโรยก็ได้อาหารกบแล้ว

นับว่าเป็นทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับเกษตรกรที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่ง ใครที่กำลังมองหารายได้เสริม มีพื้นที่บ้านพอสมควร ลองศึกษาการเลี้ยงกบดู บอกได้เลยว่าอย่าดูแคลนไป ขายได้ทีหนึ่งก็หลายบาทอยู่นะ

abocn-tmaxresdefault-s

การเลี้ยงหมูหลุมสร้างรายได้ลดต้นทุนเข้าสู่อาชีพ

การเลี้ยงหมูโดยปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาตินั้น เราเลี้ยงแค่ตัวเดียวก็ทำให้มีกลิ่นเหม็นแล้ว ส่วนความแตกต่างของการเลี้ยงหมูหลุมนั้นมีประโยชน์มากและทำให้หมูโตไวมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง เพราะถ้าเราย้อนกลับไปดูวิธีการเลี้ยงหมูตามวิธีแบบชาวบ้านสมัยก่อนนั้นจะเลี้ยงหมูโดยปล่อยให้อยู่กับขี้ดินขี้โคลนตามใต้ถุนบ้านซึ่งบ้านสมัยก่อนนั้นจะมีบ้านที่มีใต้ถุนกันซะส่วนใหญ่และส่วนใหญ่ใต้ถุนบ้านก็จะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจึงทำให้ชาวบ้านบางคนนำหมูมาเลี้ยงเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมบ้างก็เลี้ยงแค่ 1-2 ตัว บ้างก็จะเลี้ยงหลายตัวตามพื้นที่ที่มีอยู่แต่การเลี้ยงหมูแบบชาวบ้านในสมัยก่อนนั้นก็จะเลี้ยงกันตามประสาชาวบ้านที่ไม่มีความรู้อะไร จึงเลี้ยงหมูโดยการกั้นใต้ถุนบ้านให้เป็นคอกและขังน้ำให้เป็นดินโคลนเพื่อให้หมูได้อยู่เสมือนธรรมชาติ แต่การเลี้ยงหมูโดยวิธีนี้ไม่เป็นที่น่ายินดีเท่าไหร่นักเนื่องจากการเลี้ยงด้วยวิธีดังกล่าวจะทำให้บ้านได้รับกลิ่นเหม็นจากมูลของหมูเองและยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่างๆที่เป็นอันตรายทั้งคนและหมูที่อยู่ในบริเวณนั้นอีกด้วย ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับการเลี้ยงหมูหลุมกันเลยดีกว่าครับ

การเลี้ยงหมูหลุมจะมีขั้นตอนไม่ยุ่งยากมากนักหากได้ศึกษามาเป็นอย่างดีก็จะประสบผลสำเร็จได้ เราจะเริ่มขั้นตอนแรกกันเลยดีกว่าครับ

1.ควรจะมีพื้นที่ที่เป็นแบบโรงเรือนโดยมีที่กันแดดกันฝนได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็แยกเป็นคอกๆโดยจะให้ 1 คอกมีหมูอยู่ได้ไม่เกิน 10 ตัวซึ่งการสร้างจำนวนของคอกหมูนั้นจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่เรามีอยู่และจำนวนหมูที่จะเลี้ยงด้วย

2.ให้ปูพื้นคอกหมูโดยใช้ต้นกล้วยมาสับเป็นชิ้นเล็กเทลงพื้นให้ทั่วคอก จาดนั้นให้นำน้ำจุลินทรีย์มาเทราดให้ทั่วคอกอีทีและใช้แกลบมาเททับอีกชั้นโดยให้คุมต้นกล้วยที่สับให้มิด

3.ทำแบบเดียวกันอย่างข้อที่ 2 อีกครั้งเพื่อความหนาของพื้นที่และทำให้เหมือนกันแบบนี้ทุกคอก สุดท้ายให้ฉีดน้ำให้ชุ่มชื่นทั่วทั้งคอก เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเลี้ยงหมูได้อย่างปกติซึ่งจะทำให้ลดกลิ่นของมูลของหมูและทำให้หมูแข็งแรงปลอดโรคอีกด้วย

ทั้งนี้เมื่อนำหมูไปขายได้แล้วก็นำพื้นคอกที่เป็นแกลบและมูลของหมูไปใส่ต้นไม้แทนปุ๋ยได้หรือนำไปขายให้กับชาวเกษตรกรที่ปลูกพืชผักได้อีกด้วย

abocn_cricket

 จิ้งหรีดเป็นอาชีพที่เกษตรกรนิยมเลี้ยงมากในเวลานี้

แมงสะดิ้ง หรือที่เรารู้จักกันดีที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า จิ้งหรีดจิ้งหรีดไทยดังไกลถึงต่างประเทศ เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆสำหรับเกษตรกรชาวไทย ที่ทางคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ขอนแก่น)ได้ทำการวิจัยและพัฒนาขึ้นมา โดยมีการค้นพบว่าแมงสะดิ้งหรือจิ้งหรีดนั้นเป็นแมงที่สามารถรับประทานได้ไม่เป็นอันตรายใดๆทั้งนั้น และได้ทำการแปรรูปให้เป็นอาหารต่างๆที่สามารถรับประทานได้ง่ายอีกด้วย เช่น ข้าวเกรียบจิ้งหรีด คุกกี้จิ้งหรีด ผงจิ้งหรีดสำเร็จรูป และ จิ้งหรีดที่นำมาแปรรูปที่ได้รับความนิยมที่สุด คงหนี้ไม่พ้นแมงสะดิ้งหรือจิ้งหรีดทอดกรอบ รสต่างๆนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น รสต้นตำหรับ หรือรสต้มยำกุ้งเป็นต้น นอกจากนี้ยังได้นำสินค้าแมงสะดิ้งที่ได้ทำการแปรรูปต่างๆไปออกจำหน่ายถึงต่างประเทศและประเทศที่นิยมรับประทานแมงสะดิ้ง มากที่สุดและได้ผลตอบรับที่ดีในการออกวางจำหน่ายได้แก่ประเทศฝรั่งเศสนั้นเอง

ซึ่งเรามีเกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงแมงสะดิ้งหรือจิ้งหรีดนั้น มีจำนวนทั้งหมด 20,000 ฟาร์มทั่วประเทศไทยกันเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่จะมีฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีดในแทบภาคอีสานเป็นจำนวนมากที่สุด

เรามาดูวิธีการเลี้ยงแมงสะดิ้งหรือจิ้งหรีดกันเลยดีกว่าครับ

ขั้นตอนแรกเราสร้างบ้านให้กับเจ้าจิ้งหรีดกันก่อนโดย มีการสร้างได้หลายวิธี เช่น สร้างจากไม้อัด หรือ สร้างจากปูนก็ได้ โดยส่วนใหญ่จะทำเป็นลักษณะคล้ายๆห้องสี่เหลี่ยมมีความสูงประมาณ 1.5 เมตรขึ้นไป ความกว้างหรือความยาวของห้องนั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณในการเลี้ยง ยิ่งมีพื้นที่กว้างมากยิ่งเลี้ยงได้เป็นจำนวนมาก เมื่อเรามีพื้นที่เป็นเหมือนห้องสี่เหลี่ยมแล้วเราก็จะใช้แผงที่ใส่ไข่ไก่ที่เป็นแบบกระดาษมาวางซ้อนไปมาสลับกันหน้าหลังไปมาเพื่อที่จะให้มีช่องว่างไว้ให้จิ้งหรีดได้อาศัยอยู่หรือเป็นเสมือนรังของมันนั้นเอง ส่วนเรื่องของอาหารจะให้กินจำพวกอาหารไก่หรืออาหารหมูก็ได้ที่สำคัญต้องบดให้ละเอียดมากๆยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะจิ้งหรีดเป็นสัตว์ที่มีขนาดตัวเล็กจึงต้องกินอาการที่เล็ก ไม่เช่นนั้นจะทำให้จิ้งหรีดไม่โตเพราะกินอาหารไม่ได้ ควรให้กินอาหารจำพวกนี้ประมาณ 20 วันเท่านั้นหลังจากนั้นควรให้อาหารจำพวกพืชผักเพราะไม่เช่นนั้นแล้วเวลาที่เราได้รับประทานจิ้งหรีดที่ให้อาหารไก่หรืออาหารหมูอย่างเดียวเข้าไปจะทำให้รู้สึกเหม็นคาวได้

ส่วนถาดสำหรับใส่อาหารนั้นควรมีขอบของถาดขึ้นมาสาเหตุเพราะเวลาจิ้งหรีดมากินอาหารจะไม่ทำให้อาหารหกออกไปจากถาด ทั้งนี้ต้องมีตาข่ายปิดที่บริเวณปากห้องที่เราเลี้ยงจิ้งหรีดอยู่เสมอเพื่อเป็นการกันจิ้งหรีดออกจากที่เราเลี้ยงและกันจิ้งจกหรือสัตว์อื่นๆเข้ามากินจิ้งหรีดของเราได้ จากนั้นเลี้ยงจิ้งหรีดไปให้ถึง 45 วันก็จะจับมาขายได้

จิ้งหรีดสามารถทำรายได้มากและเร็ว เกษตรกรส่วนใหญ่จึงเริ่มหันมาเลี้ยงจิ้งหรีดขายกันเป็นจำนวนมากและมีจำนวนผู้เลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

abocn-Catfish

การเลี้ยงกบคอนโดร่วมกับปลาดุก เลี้ยงง่ายรายได้ดีใช้พื้นที่น้อย

การเลี้ยงกบคอนโดสามารถใช้พื้นที่น้อยได้เนื่องจากเป็นการใช้ยางรถที่ไม่ได้ใช้แล้วนำมาซ้อนกัน 3 เส้นหรือชั้นเพื่อใช้แทนบ่อเลี้ยงกบนั้นเอง

เรามาดูขั้นตอนการเลี้ยงกบคอนโดร่วมกับปลาดุกันเลยครับ

การเลี้ยงกบคอนโดร่วมกับปลาดุนั้นจะต้องมีการเลี้ยงปลาดุอยู่แล้วและเราต้องเลี้ยงกบคอนโดให้ใกล้กับบ่อปลาดุให้มากที่สุดเนื่องจากเราจะใช้มูลและเศษอาหารของกบคอนโดนที่เหลือไปใช้เป็นอาหารให้กับปลาดุกได้อีกด้วย

เรามาเริ่มจากการวางท่อน้ำทิ้งของคอนโดกบกันก่อนเลยดีกว่า

1 ควรขุดดินเพื่อที่จะวางท่อน้ำทิ้ง

2 ให้ต่อท่อน้ำทิ้งของแต่ละคอนโดเชื่อมต่อกันและนำไปวางในร่องที่ได้ขุดไว้ โดยเราจะเลี้ยงได้ประมาณ 9 คอนโด หลังจากวางระบบท่อเสร็จแล้วให้เทปูนทับและฉาบหน้าปูนให้สนิท และเรียบเนียนที่สุดเพื่อที่จะลดการเกิดแผลให้กับตัวกบได้

3 ให้ทำความสะอาดคอนโดกบให้สะอาดโดยการใช้น้ำสะอาดและน้ำจุลินทรีย์เทลาดลงไปในแต่ละคอนโดเป็นขั้นตอนสุดท้าย จากนั้นให้ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง

4 ใส่น้ำสะอาดลงไปในห่วงยางแต่ละเส้นของคอนโด ควรใช้น้ำสะอาดที่มาจาก ชลประทาน หรือ ตามคลอง และแห่งน้ำต่าง จะให้ให้กบโตไวและแข็งแรงเนื่องจากเป็นน้ำที่มาจากธรรมชาติโดยตรงและจะทำให้กบสามารถปรับตัวได้ง่าย โดยให้ใส่น้ำลงไปที่ห่วงยางโดยให้มีน้ำขังห่วงยางสักครึ่งหนึ่ง และใส่น้ำจุลินทรีย์ตามหลังลงไปอีก

5 นำพันธุ์กบที่เตรียมไว้เพื่อที่จะเลี้ยงนั้น ใส่ลงไปในคอนโดได้ทันทีเลยโดยที่แต่ละคอนโดจะใช้กบประมาณ 70- 100 ตัวตามความเหมาะสม โดยจะเลือกใช้กบในการเลี้ยงที่มีขนาดตัวอยู่ที่ 1-2 นิ้ว

วิธีการเลี้ยงจะต้องให้อาหารกบวันละ 2 ครั้ง ให้หากกัน 8-10 ชั่วโมง โดยกบในเดือนแรกๆจะใช้อาหารเม็ดที่เอาไว้เลี้ยงปลาดุกเม็ดเล็ก และพอตัวใหญ่ขึ้นให้เปลี่ยนมาให้อาหารปลาดุกเม็ดใหญ่แทน และควรทำความสะอาดคอนโดกบอย่างน้องวันละ 1 ครั้ง มูลกับเศษของกบที่ได้ทำความสะอาดนั้นจะสามารถเป็นอาหารของปลาดุกได้อีกต่อหนึ่ง

กบจะสามารถจับขายได้ประมาณเดือน 4-5 หรือจะนานกว่านั้นก็ได้เพื่อรอดูราคาขึ้นลงของตลาด ถือได้ว่าเป็นการเลี้ยงกบนอกจากจะเลี้ยงเพื่อสร้างรายได้แล้วยังสามารถใช้ประโยชน์จากการเลี้ยงกบได้อีกถือได้ว่าเป็นแนวทางที่ดีสำหรับเกษตรกรที่อยากเลี้ยงกบหรือเกษตรกรที่เลี้ยงปลาดุกอยู่แล้วและมาเลี้ยงกบเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม

abocn-Fish-hd

การเลี้ยงปลานิลแบบไหนไม่ให้ขาดทุน

เกษตรกรทั้งที่มีพื้นฐานในการเลี้ยงปลานิลอยู่แล้วหรือเป็นเกษตรกรใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงปลานิลเลยก็ตาม ถ้าอยากจะเลี้ยงปลานิลขายควรศึกษาข้อมูลได้จากที่นี่ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการขาดทุนในการทำการเกษตร

1.ควรใช้บ่อดินในการเลี้ยงปลาเพื่อที่จะทำให้ปลามีความใกล้เคียงกับปลานิลธรรมชาติมากที่สุด และยังลงทุนน้อยอีกด้วย

2.สถานที่ที่จะใช้เลี้ยงปลา ควรมีแหล่งที่มาของน้ำ เช่น บ่อน้ำ หรือ ลำคลอง หรืออาจจะเป็น น้ำจากชลประทานก็ได้ เพื่อเอาไว้ใช้ในการปรับถ่ายน้ำในบ่อปลา

3.เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องสูบน้ำ แห อวน เพื่อใช้ในการจับปลา

4.แหล่งที่มาของอาหารหรือวัชพืช เช่น ผักบุ้ง ผักตบชวา แหน สาหร่ายตามลำคลองเป็นต้น วัชพืชเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถนำไปใช้เป็นอาหารปลาแทนอาหารเม็ดเพื่อลดต้นทุนในการเลี้ยงได้ สิ่งสำคัญๆก็มีประมาณนี้

เรามาดูขั้นตอนในการเลี้ยงปลากันเลยดีกว่าครับ อันดับแรกเราต้องคำนวณขนาดของบ่อปลาเพื่อที่จะใช้ในการเลี้ยงปลากันก่อนนะครับ โดยที่ 1 ไร่สามารถ เลี้ยงปลานิลได้ 800-1000 ตัว ไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป เพราะถ้าหากเราเลี้ยงปลานิลในจำนวนที่มากเกินไปก็จะทำให้ปลานิลในเวลาที่โตขึ้นมานั้นจะมีพื้นที่ที่ไม่พอ และจะทำให้ปลานิลที่เราเลี้ยงไว้นั้นโตช้าหรือไม่โตเนื่องจากมีพื้นและอากาศไม่เพียงพอกับปลาที่อยู่ในบ่อ

การเลี้ยงปลานิลแรกๆนั้นควรเฝ้าระวังศัตรูทั้งหลาย เช่น กบ เขียด ปลาดุก ปลาช้อน ปลาชะโด วรนัสฯลฯ เพราะการเลี้ยงปลานิลในระยะแรกๆจะใช้ปลานิลตัวที่มีขนาดแค่ 3-5 ซม.เท่านั้น วิธีกำจัดศัตรูของปลานิลได้แก่การสูบน้ำในบ่อเลี้ยงปลานิลออกให้หมดก่อนนำปลาลงไปเลี้ยงเพื่อเป็นการเคลียร์บ่อและพักบ่อ

ควรใช้กระชังมุ้งไนล่อนสีฟ้าล้อมรอบบ่อเพื่อเป็นการกันสัตว์นักล่าต่างๆลงมากินปลาในบ่อ เช่น ตะกวด หรือ ตัวเงินตัวทองเป็นต้น

วิธีการปล่อยปลาลงไปในบ่อ เมื่อเราซื้อพันธุ์ปลามานั้นจะมาในรูปแบบถุงเราไม่ควรที่จะปล่อยปลาในถุงลงไปในบ่อเลี้ยงปลาทันที ให้นำถุงพันธุ์ปลาวางแช่ลงไปในบ่อน้ำสัก 1-2 ซม.ก่อน เพื่อให้ปลาได้เตรียมตัวปรับตัวเข้ากับน้ำที่มีอุณหภูมิที่ต่างกัน เมื่อครบตามเวลาที่เหมาะสมแล้วให้เปิดปากถุงโดยให้น้ำในบ่อปลาเข้ามาและให้ปลาที่อยู่ในถุงว่ายออกไปเอง ขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญมากๆเพราะการกระทำแบบนี้จะช่วยทำให้ปลาแข็งแรงแล้วยังช่วยลดความเสียงของตัวปลาที่จะตายได้อีกด้วย หลังจากนั้นเราก็เลี้ยงปลาโดยการใช้อาหารหลักสัก 30-50% เพื่อที่จะใช้อาหารที่หาได้จากวัชพืช 50 หรือมากกว่า 50% ก็ได้เพื่อเป็นการลดต้นทุน โดยส่วนใหญ่ปลานิลจะเลี้ยงอยู่ประมาณ 12 เดือนขึ้นไป หรือจะจับขายได้ตามขนานที่ตลาดต้องการ ปลาที่มีอายุ 12 เดือนจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 2-3 ตัว/กก.

เนื่องจากปลานิลเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายโตไวและเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากจึงทำให้เกษตรที่เลี้ยงปลานิลมักจะได้กำไรในจำนวนมาก และน้อยนักที่เกษตรกรเลี้ยงปลานิลตามวิธีข้างต้นนี้แล้วขาดทุน เพราะราคาทางตลาดจะมีราคาไม่ขึ้นลงไม่ห่างมากนักและค่อนข้างจะคงที่

 

 

abocn-tSlideshow

ดื่มแล้วร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีกับเกษตรฟาร์มโคนม

ถ้าถามถึงเกี่ยวกับการทำเกษตรนั้นในประเทศไทยของเรานั้นมีมากหลายอย่างหลายชนิดแต่ถ้าพูดถึงเกี่ยวการทำงานด้วยแรงงานคนนั้นคนไทยเราก็ต้องคิดถึงเกี่ยวกับการทำการเกษตรนั้นเองเกษตรคือการทำไร่สวนการทำนาหรือการทำเกี่ยวกับการทำฟาร์มเลี้ยงปลาเลี้ยงสัตว์นั้นเองแต่ที่เราจะเอามาพูดคุยพูดถึงกันก็คือฟาร์มโคนมนั้นเองถ้าถามถึงว่าฟาร์มโคนมนั้นดีอย่างไรคนเราหรือมนุษย์เราที่เกิดมานั้นก็ต้องดื่มนมจาแม่หรือจากสัตว์นั้นเองและนี่ก็คือที่มาของการเพราะเลี้ยงโคนมนั้นเองชาวเกษตรกรนั้นมุ่งนั้นเพื่อที่จะเลี้ยงโคนมนั้นเพื่อนำเอานมของมันมาดื่มมากินนั่นเองเพราะว่าชาวเกษตรกรนั้นมีความเห็นว่าในน้ำนมโคนั้นมีโปรตีนมากและเหมาะแก่ร่างกายของมนุษย์อิกด้วยเลยได้มีการจัดตั่งสถานที่ทำฟาร์มโคนมเลี้ยงกันนั่นเองและนี่ก็คือจุดประสงค์หลักของการทำโคนมนั่นเองและโคนมที่ชาวเกษตรนั้นสามารถที่จะนำมาให้กินกันนั้นต้องมีอายุสี่ปีขึ้นไปเพราะว่าช่วงนี่เป็นช่วงที่วัวเจริญเติบโตเต็มที่แล้วก็เจริญเต็มวัยแล้วสารอาหารที่ได้จากน้ำนมวัวนั้นจะมีมากเยอะเลยทีด้วยและโปรตีนก็เยอะอิกด้วยแล้วชาวเกษตรกรยังสามารถนำเนื้อของวัวมานำจำหน่ายเป็นวัวเนื้อได้อิกด้วยเนื่องจากได้ทั้งสองอย่างเลยเหมือนทำงานหนึ่งอย่างแล้วได้รายได้สองกำไรนั่นเองของดีของการทำเกษตรกรประเภทนี้ก็คือสามารถนำน้ำนมจากเต้าวัวโคนมนั้นสามารถมานำส่งไปขายที่ต่างประเทศได้อิกด้วยแล้วต่างประเทศที่ให้การตอบรับมากที่สุดนั่นก็คือประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเองเพราะว่าประเทศของเค้านั้นรับประทานนมอย่างน้อยวันละสามถึงสี่ลิตรนั่นเองเลยทำให้ชาวเกษตรกรนั้นมีรายได้เพิ่มมหาศาลอิกด้วยนั่นเองและยังทำให้คนไทยมรายได้และไม่ตกงานอิกด้วยแล้วไม่ต้องไปทำงานให้แรงงานต่างประเทศอิกด้วย