Cool grandfather

ปู่เย็น เฒ่าทรนง บุคคลตัวอย่างของความพอเพียง

ประเทศไทยเรานี้ต้องบอกว่าไม่สิ้นคนดีจริง เรามักจะได้เห็น ได้ยินข่าวสารของบุคคลทั่วไปที่มีความประพฤติดีอยู่ในกรอบ ในศีล ในธรรมจนกลายเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกหลานสืบต่อมาได้ อย่างเช่นบุคคลตัวอย่างที่เราจะนำเสนอ เค้าคือ ปู่เย็น เฒ่าทรนงบุคคลตัวอย่างของความพอเพียงซึ่งเราสามารถนำเรื่องราวของท่านมาเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตได้เลย

ข้อมูลส่วนตัวของปู่เย็น

ปู่เย็นนั้นมีชื่อจริง นามสกุลจริงว่า นายเย็น แก้วมณี เป็นชาวจังหวัดเพชรบุรี หากนับตามอายุในทะเบียนราษฏร์ท่านจะมีอายุประมาณ 89 ปี แต่อายุจริงมากกว่านั้นคาดกันว่าอายุน่าจะประมาณ 108 ปีได้ เนื่องจากตอนสัมภาษณ์ท่านบอกเองว่าเกิดปีฉลู รวมถึงคนชราในพื้นที่นั้นต่างก็บอกว่าตอนที่ตัวเองเป็นเด็กก็เห็น ปู่เย็น (ตอนนั้น) เป็นหนุ่มแล้ว ท่านเป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม ด้านครอบครัวท่านสมรสกับ ย่าเอิบ แก้วมณี คนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งสองรักกัน สร้างครอบครัวมาอย่างยืนยาวนาน โดยที่ไม่มีใครต้องเปลี่ยนศาสนา บุตรธิดาทั้งสองไม่มีเนื่องจากปู่เย็นเป็นหมัน แต่ได้รับเลี้ยงบุตรบุญธรรมไว้สองคน (ผู้หญิง) ปัจจุบันทั้งสองก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง

ความพอเพียงที่เลือกเอง

ชีวิตของปู่เย็น เดิมทีวางแผนไว้ว่าหลังจากลูกสาวทั้งสองมีเหย้ามีเรือนครอบครัวของตัวเองแล้ว ทั้งคู่จะไปใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตามประสาคนแก่ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ ย่าเอิบ เสียชีวิตไปก่อน ทำให้ปู่เย็นในเวลานั้นเสียใจเป็นอย่างมากนานถึง 3 เดือนด้วยกัน จากนั้นท่านก็เอาทรัพย์สินบางอย่างที่สำคัญติดตัวลงไปอยู่ในเรือของตัวเอง ลำเล็กๆ ล่องไปตามแม่น้ำ ใช้อวนดักจับปลาเพื่อประทังชีวิตตัวเองเท่านั้น นี่ถือว่าเป็นเส้นทางพอเพียงในแบบฉบับของปู่เย็น

ดูแลตัวเองให้ได้

หลายคนอาจจะคิดว่าคนแก่ดูแลตัวเองไม่ได้ แต่ปู่เย็นทำให้เรารู้ว่าไม่ใช่แบบนั้นเลย ปู่เย็นเป็นคนที่มีนิสัยขี้สงสาร แต่ไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร ท่านเป็นคนที่คิดจะดูแลตัวเองให้ได้ด้วยตัวเองตั้งแต่เรื่องของสุขภาพ อาหาร การกินการอยู่ ท่านต้องการจัดการตัวเองให้ได้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งบนความพอเพียง

ไม่หลงใหลไปกับชื่อเสียง

หลังจากเรื่องราวของท่านเผยแพร่ออกไปทางสื่อโทรทัศน์ ทำให้ท่านมีชื่อเสียงมากมายระดับประเทศเลย แต่ท่านก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับชื่อเสียงเหล่านั้น ท่านคิดอยู่เสมอว่าชีวิตมีขึ้นมีลง เชื่อไหมว่าแม้จะดังขนาดนี้แต่ท่านก็ยังทำตัวเหมือนเดิม อยู่ในเรือล่องไปตามแม่น้ำเหมือนเดิมอย่างที่เคยทำมาตลอด นี่จึงเป็นเหมือนกับตัวอย่างให้ลูกหลานได้เห็นถึงการใช้ชีวิตตามหลักความพอเพียงอย่างแท้จริง

Suebnakasathien

สืบ นาคะเสถียร บุคคลที่เป็นลมหายใจของป่าที่ควรยกย่อง

ป่านับว่าเป็นทรัพยากรของชาติที่สำคัญมาก เนื่องจากป่าเป็นต้นธารของทรัพยากรอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นน้ำ สัตว์ป่า ฯลฯ ซึ่งการอนุรักษ์ป่าไม้นั้นนอกจากจะต้องการความร่วมมือจากเราทุกคน เรายังต้องการนักอนุรักษ์ที่ซื่อสัตย์อีกด้วย คนหนึ่งที่เป็นคนสำคัญด้านนี้ในหน้าประวัติศาสตร์ก็คือ สืบ นาคะเสถียร เพื่อไม่ให้เรื่องราวของเค้าเลือนหายไปกับกาลเวลาเราจะนำเสนอเรื่องราวของชายคนนี้กัน

ชีวิตในวัยเด็ก (เนิร์ด)

ครอบครัวของ สืบ เค้ามีพี่น้องทั้งหมดสามคน พ่อเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแห่งหนึ่ง ตอนเด็กสืบเป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่งมาก อ่านหนังสือประจำ และอ่านหนังสือตลอดเวลา วัยเด็กเค้าเป็นคนที่เล่นทั่วไปยิงนกตกปลาเหมือนกับเด็กคนอื่น ฝีมือการยิงหนังสติ๊กของเค้าแม่นราวกับจับวาง แต่ก็เลิกเล่นไปเพราะเคยยิงแม่นกตัวหนึ่งตายคารัง ต่อมาในวัยหนุ่ม สืบ เข้าเรียนสาขาวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต้องบอกว่าเค้าคือเด็กเนิร์ดในยุคนั้นอย่างแท้จริง การใส่แว่นกลมอันใหญ่ นั่งอ่านหนังสือตลอดเวลา จนเพื่อนร่วมห้องจากเฮฮาเสียงดังต้องเงียบไปเองด้วยความเกรงใจ ไม่เพียงแค่นั้นเวลา สืบ กลับบ้าน

ชีวิตการทำงาน

ด้วยความเก่ง มีความรู้ในสมองเยอะจากการอ่านหนังสืออย่างหนักเป็นเวลานาน นั่นทำให้เมื่อเขาเรียนจบการสอบเข้ารับราชการในตำแหน่งป่าไม้ ไม่ได้อยากเกินความสามารถเข้าเลย ตอนนั้น สืบ สามารถสอบเข้าทำงานในกรมป่าไม้ได้เป็นอันดับสามเลย แต่เค้าเลือกที่จะไม่ทำงานในกรม เค้ากลับเลือกไปทำงานหน่วยเล็กๆ ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรีแทน

การต่อสู้

แน่นอนว่าการทำงานกรมป่าไม้ สืบ ต้องปะทะกับเหล่าบรรดานายทุนที่พยายามจะเข้ามาหาผลประโยชน์กับป่าไม้ตลอดเวลา เค้าได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน จับผู้มีอำนาจ นายทุน นายพราน ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ทำผิดกฎหมายมาเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีมากมาย เรียกได้ว่าเป็นหนามยอกอกของพวกทำผิดกฎหมายเลยก็ว่าได้ จนกระทั่ง สืบ ได้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อเมืองนอกด้านอนุรักษ์วิทยา พอจบกลับมาท่านสืบก็เอาความรู้ที่ได้มาวิจัยด้านการอนุรักษ์ป่าอย่างต่อเนื่องจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

จากการทำงานอย่างแข็งขัน ทั้งเรื่องของป่าไม้ สัตว์ป่า และทุกสิ่งทุกอย่างในป่าของไทย ทำให้ชื่อของ สืบ นาคะเสถียร เป็นอีกชื่อหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยเราที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอเมื่อมีการพูดถึงการอนุรักษ์ป่า หรือ ข่าวเกี่ยวกับการทำลายผืนป่า แม้ว่าวันนี้เค้าจะไม่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เค้าเคยทำไว้จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์ป่ารุ่นต่อไป

Grandma smiles

ย่ายิ้ม หญิงชราแกร่งผู้อุทิศตนเพื่อส่วนรวมโดยการสร้างฝายปลูกป่า

การปลูกป่าถือว่าเป็นเรื่องที่เราควรหันกลับมาให้ความสนใจอย่างมาก เพราะว่าป่าเป็นต้นทุนทางธรรมชาติที่สำคัญอย่างมากประการหนึ่ง หากหมดป่ามนุษย์เราก็คงจะอยู่ไม่ได้แน่นอน วันนี้เราจะแนะนำผู้หญิงคนหนึ่งเธออยู่บ้านกลางป่ามานานหลายสิบปีความน่าประทับใจก็คือ นอกจากจะอยู่กลางป่าร่วมกับธรรมชาติได้แล้ว เธอยังช่วยปลูกป่ากว่าหมื่นต้นอีกต่างหาก

ย่ายิ้ม หญิงชราแกร่ง

เรื่องราวสุดประทับใจนี้ เราต้องเดินทางไปถึงบ้านท่าหนอง ตำบลหินหาด อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ที่นั่นมีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 88 ปี เธออาศัยอยู่บนบ้านกลางป่า กลางเขาอยู่เพียงแค่คนเดียวตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะสามารถอาศัยอยู่บนนั้นเพียงคนเดียวได้ ด้านครอบครัวเธอมีลูกทั้งหมด 5 คน โดยทั้งหมดต่างแยกย้ายไปสร้างครอบครัวของตัวเองมีเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่ดูแลย่ายิ้มอยู่อย่างห่างๆ แม้ว่าทั้งหมดจะพยายามรบเร้าให้ย่ายิ้มลงจากเขาไปอยู่ด้วยกันด้านล่างแต่เธอก็ไม่ยอมไป

อาศัยอยู่กับธรรมชาติไม่ง่าย

ลองนึกภาพตามว่า คนแก่อายุเกือบ 90 ปี จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไรในชีวิตประจำวันก็ว่ายากแล้ว แต่ย่ายิ้มคนนี้ให้เราเพิ่มความยากลงไปอีกนับ 10 เท่าเลย เพราะการอยู่กลางป่าของย่ายิ้มนั้นเป็นการอยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปาใช้ ทุกอย่างใช้ร่วมกับธรรมชาติทั้งหมด เสื้อผ้า น้ำจากแหล่งธรรมชาติ อาหาร ซึ่งไม่ง่ายเลย บนป่าชีวิตของย่ายิ้มไม่แน่นอนบางครั้งฝนตกหนักมากจนไม่สามารถออกบ้านได้ นั่นทำให้ย่ายิ้มต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน กินได้แต่อาหารที่สำรองเอาไว้เท่านั้นบางครั้งข้าวสารที่เตรียมไว้ก็หมดจนต้องหาหัวกลอยป่ากินกับมะพร้าวคั่วเพื่อประทังชีวิตไปเท่านั้นเอง

ปลูกป่าสร้างฝาย

ไม่เพียงแต่อยู่กับป่าเท่านั้น ย่ายิ้ม ยังใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตปลูกต้นไม้ สร้างฝาย เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าแห่งนี้ให้อุดมสมบูรณ์มากขึ้น คาดการณ์กันว่า ย่ายิ้ม ปลูกต้นไม้ผ่านมาของตัวเองมาแล้วเกือบหมื่นต้นตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีบนเขา ไม่เพียงเท่านั้น ย่ายิ้มยังใช้เวลาที่เหลือทำฝายชะลอน้ำอีกด้วย โดยมีฝายกว่า 16 แห่งเกิดขึ้นจากฝีมือคุณย่าคนนี้ จากการคำนวณสิ่งที่คุณย่าทำทั้งการปลูกป่าและสร้างฝาย ได้ช่วยให้คนอีกหลายร้อยครอบครัวที่อยู่ด้านล่างมีน้ำใช้ทั้งการดำรงชีวิตและการเกษตร ก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ย่ายิ้มทำไว้จะเป็นตัวอย่างให้ลูกหลานได้สืบสานต่อไปในอนาคตอีกนานแสนนาน

Dr. Krirk Meangkit

ดร.เกริก มีมุ่งกิจ ครูเกษตรกร ผู้ให้แนวทางและความคิดดีๆ ทางการเกษตร

โลกยุคปัจจุบันจะบอกว่าความคิดของคนเริ่มกลับทางก็ว่าได้ จากเดินที่มุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่ มุ่งสู่สังคมโรงงานอุตสาหกรรม พนักงานออฟฟิศ เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่เริ่มมีความคิดเปลี่ยนไป หลายคนเริ่มหันกลับมาทำเกษตรแบบผสมผสานเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแล้ว ซึ่งต้องขอขอบคุณคนต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเค้าเหล่านี้ ดร.เกริก มีมุ่งกิจ คือหนึ่งในแรงบันดาลใจนั้น หลายคนอาจไม่รู้จัก งั้นเรามาทำความรู้จักเค้ากันดีกว่า
ดร.เกริก มีมุ่งกิจ เค้าเป็นใคร

สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องราวของการเกษตรมากนัก อาจจะไม่คุ้นกับชื่อนี้สักเท่าไร แต่หากอยู่ในวงการเกษตร ต้องรู้จักเค้าแน่นอน ชายคนนี้ถือว่าเป็นคนที่มีช่วงชีวิตที่เรียกว่ารุ่งโรจน์แบบสุดๆ กับตกต่ำแบบไม่น่าเชื่อได้เหมือนกัน เดิมทีเค้าเป็นนักค้าที่ดินตัวยงเลย เค้าค้าขายที่ดินจนมีเงินหลักหลายร้อยล้านบาทแต่การทำงานที่ผิดพลาดทำให้เงินที่มีทั้งหมดหายไปจนขาดทุนสุดท้ายล้มลายในที่สุด

หลังจากล้มละลายนั่นทำให้เค้ากลับไปเริ่มต้นใหม่ที่บ้านของเค้าเองที่จังหวัดสระแก้ว ตรงนั้นเข้ามีที่ดินเหลือจากครอบครัวอยู่ประมาณ 99 ไร่ จากนั้นเค้าก็เริ่มกลับมาพลิกฟื้นพื้นที่ของเค้าทั้งหมดให้กลับมาเป็นพื้นที่สำหรับงานเกษตรโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 จนพลิกฟื้นกลายเป็นผืนป่ามาสร้างรายได้กับตัวเองอย่างยั่งยืนในที่สุด

การเกษตรเพื่อความยั่งยืน

การทำเกษตรเพื่อเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เป็นเรื่องที่เราได้ยินกันมานานมากแล้ว จากแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แต่น้อยคนนักที่จะเข้าใจและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับตัวเองจนเกิดผลลัพธ์ แต่ ดร.เกริก สามารถทำได้ เค้ากลับมาพลิกฟื้นผืนป่าด้วยการใช้แนวคิดทฤษฎีเกษตรแบบผสมผสาน ทั้งไม้ยืนต้น ไม้เศรษฐกิจอย่างต้นไม้สัก เพื่อเก็บเอาไว้เป็นรายได้ในระยะยาว ตัดสลับกับไม้ผลระยะสั้นเพื่อสร้างรายได้ อาหารสำหรับกินในครอบครัว จากนั้นเสริมด้วยการหาสินค้าอื่นจากเกษตรไปขาย เช่น ปุ๋ยอินทรีย์จากการหมัก, น้ำส้มควันไม้, เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ด้วยแนวคิดนี้ทำให้ ดร.เกริก สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืนแบบไม่ต้องเป็นภาระของใครเลย

จัดทำโครงการ

เมื่อ ดร.เกริก มีมุ่งกิจ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาตัวเองผ่านระบบเกษตรผสมผสานแล้ว เค้าก็ไม่ได้เก็บแนวคิดนี้ไว้อย่างเดียว ตอนนี้เค้าเปิดพื้นที่ไร่ของเค้าให้กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้แบบเกษตรผสมผสาน เพื่อเป็นพื้นที่ให้กับคนรุ่นใหม่ หรือ คนที่สนใจจะเข้ามาทำเกษตรได้เรียนรู้วิถีเกษตรกรที่สามารถออกไปทำรายได้เลี้ยงครอบครัว พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน ต้องบอกก่อนว่าหากคิดจะไปเรียนต้องเตรียมตัว เตรียมใจกันหน่อย เพราะดร.ท่านจัดหนักจริง แต่หากผ่านไปได้รับรองว่าได้วิชาไปพัฒนาตัวเองอย่างแน่นอน